วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กฎเหล็กส่งออกผักผลไม้ไทยไปมาเลเซีย

ผู้ส่งออกไทยอ่วมอีกระลอก หลังมาเลเซียเตรียมออกกฎระเบียบมาตรฐานเกรดบรรจุภัณฑ์และฉลากสินค้าใหม่ต้นปี 2553 กรมวิชาการเกษตรเตือนผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัว รักษาส่วนแบ่งตลาดผักผลไม้สดไทยในมาเลเซียหวั่นโดนจีน เกาหลี ออสเตรเลีย ฮุบตลาดส่งออกผลไม้และผักสดของไทยมูลค่ารวมกว่า 2,000-3,000 ล้านบาทต่อปีวิชา ธิติประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ประเทศมาเลเซียได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานขนาด (เกรด) บรรจุภัณฑ์และฉลากสำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2553 โดยกฎระเบียบดังกล่าวมีสาระสำคัญครอบคลุมการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตรด้านพืช ได้แก่ผักสด 73 ชนิด ผลไม้สด 56 ชนิด ไม้ตัดดอก 6 ชนิดถั่ว 2 ชนิด มะพร้าว เมล็ดกาแฟ และลำต้นอ้อยสำหรับมาตรฐานบรรจุภัณฑ์ที่ใช้หีบห่อสินค้า มาเลเซียได้กำหนดให้ใช้วัสดุที่สะอาด มีความแข็งแรงสามารถป้องกันการกระแทกที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายระหว่างการลำเลียงและการบรรจุภัณฑ์ต้องไม่เกิน 30 กิโลกรัม/1 บรรจุภัณฑ์และให้บรรจุเฉพาะสินค้าประเภทและมาตรฐานเกรดเดียวกันเท่านั้น กรณีนำบรรจุภัณฑ์เดิมมาใช้ใหม่ต้องลบหรือถอดฉลากเดิมออกก่อนส่วนฉลากสินค้าที่ติดบนบรรจุภัณฑ์ต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า11x7 เซนติเมตร โดยต้องติดไว้ด้านบนหรือด้านข้างของบรรจุภัณฑ์ขนาดตัวอักษรไม่ต่ำกว่า 20 point พิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด และข้อมูลที่ปรากฏบนฉลากต้องมีชื่อที่อยู่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ตัวแทนผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายชื่อสามัญสินค้า มาตรฐานเกรด ขนาด ประเทศแหล่งกำเนิดสินค้าและน้ำหนักสุทธิ หากเป็นสินค้านำเข้าต้องพิมพ์ฉลากเป็นภาษามาเลเซียด้วย เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้กรณีสินค้ามีปัญหา
ทั้งนี้ สินค้าผลไม้สด ผักสด และไม้ตัดดอกที่จะส่งออกไปยังมาเลเซีย จะผ่านขั้นตอนการตรวจสอบมาตรฐานโดยเจ้าหน้าที่ Federal Agricultural Marketing Authority(FAMA) ของมาเลเซีย ตามจุดชายแดน ด่านศุลกากรและท่าเรือขนส่งสินค้าก่อนนำเข้า ซึ่งจะต้องมีค่าธรรมเนียมการตรวจสอบด้วย โดยในปี 2553 หากสินค้าไม่ผ่านการตรวจสอบผู้ส่งออกจะถูกแจ้งเตือน และหลังจากปี 2554 เป็นต้นไปหากไม่ปฏิบัติตาม สินค้าจะถูกปฏิเสธการนำเข้าทันทีและอาจมีโทษตามกฎหมายมาเลเซีย โดยปรับไม่เกิน 1,000 ริงกิตหรือประมาณ 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือทั้งจำทั้งปรับเป็นเรื่องน่าวิตกว่ากฎระเบียบฉบับใหม่นี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าการส่งออกรวมประมาณปีละ 2,000-3,000ล้านบาท เพราะผู้ประกอบการไทยจะแตกแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากสินค้าของไทยที่ส่งออกไปมาเลเซียมีลักษณะคละเกรดและบรรจุในลังพลาสติก กล่องกระดาษ และถุงพลาสติกแตกต่างกับสินค้าของคู่แข่งสำคัญในตลาดอย่าง จีน ออสเตรเลียและเกาหลี ซึ่งได้มีการคัดเกรดและบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมอยู่แล้วดังนั้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดผักผลไม้สดไทยในมาเลเซียเอาไว้ โดยเฉพาะมะม่วง ทุเรียน มังคุด ลำไย เงาะ มันสำปะหลังหอมแดง หอมหัวใหญ่ พริกหยวก และพืชผักตระกูลถั่วที่กำลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานของมาเลเซียเพื่อปกป้องตลาด และยังอาจช่วยผลักดันการส่งออกผักผลไม้สดของไทยไปยังมาเลเซียให้เฟื่องฟูขึ้นถึง 6,000 ล้านบาทได้ภายในปี 2554


วิเคราะห์ SWOT

จดแข็ง
                ประเทศไทยสามารถปลูกผักผลไม้ได้มากมายหลายชนิด สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้
จุดอ่อน
                เราควรปรับปรุงด้านการคัดคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้ดูดียิ่งขึ้น
โอกาส
                หากเราสามารถปรับปรุงเรื่องคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เราจะสามารถส่งออกสินค้าไปยังมาเลเซียได้มากขึ้น

อุปสรรค
               มีประเทศคู่แข่งที่สามารถปลูกผักผลไม้ และส่งออกได้เหมือนกัน
               ประเทศมาเลเซียสามารถปลูกพืชผักคล้ายกับประเทศไทยได้
                









1 ความคิดเห็น: